วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คืออะไร.?


    พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คืออะไร

         ถ้าจะกล่าวกันสั้นๆก็คือการทำ การค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง โดยคำว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นจะครอบคลุมตั้งแต่ ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน อาทิ โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนกว่านี้ แต่ว่าในปัจจุบันสื่อที่เป็นที่ นิยมและมีความแพร่หลายในการใช้งานคืออินเทอร์เน็ตและมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการทำการค้ามาก จนทำให้เมื่อพูดถึงเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คนส่วนใหญ่จะเข้าใจไปว่าคือการทำการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั่นเอง นอกจากนั้นปัจจุบันอาจได้ยินอีกหลายๆ คำ อาทิ e-Business, e-Procurement, e-Readiness, e-Government ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ในการที่นำเอา เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้งาน         ส่วนคำว่า e-Business นั้น คือ การดำเนินกิจกรรมทาง ธุรกิจต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคำศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ
  • BI=Business Intelligence: การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน
  • EC=E-Commerce: เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต
  • CRM=Customer Relationship Management: การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า
  • SCM=Supply Chain Management: การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค
  • ERP=Enterprise Resource Planning: กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการการผลิตระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน
รูปแบบของการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์         ในการทำการค้านั้นต้องประกอบด้วยอย่างน้อย 2 ฝ่ายก็คือผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายนั้นก็มีหลายๆรูปแบบ ทำให้เราสามารถจัดประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้
  • ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น
  • ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป
  • ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) ในเรื่องการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น
  • ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G) คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com หรือการใช้งานระบบอีดีไอในพีธีการศุลกากรของกรมศุลฯ www.customs.go.th
  • ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C) ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

รูปแสดงตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง B2B, B2C         จากรูปจะเห็นว่า บริษัท ก.ยนต์การ เชื่อมต่อระบบสำนักงานส่วนหลังกับ ส.ชิ้นส่วนยนต์ ซึ่งถือเป็น Supplier ซื้อชิ้นส่วนมาผลิตต่อและเชื่อมต่อกับบริษัทผลิตรถยนไทย จำกัด ซึ่งจัดเป็นลูกค้าซื้อชิ้นส่วนต่อจาก ก.ยนต์การ นำไปใช้ประกอบในสินค้าของบริษัทผลิตรถไทย(ส่วนนี้จัดเป็น B2B) และในขณะเดียวกัน ก.ยนต์การ ก็ได้นำชิ้นส่วนบางส่วนมาใช้ในการผลิตสินค้าจำหน่ายให้กับลูกค้ารายย่อยพร้อมกันด้วย ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท(ส่วนนี้จัดเป็น B2C)
         จากการที่แบ่งประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ออกเป็นประเภทตามข้างบนนั้น ดังนั้นทำให้สามารถจัดประเภทของช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างสองฝ่าย ออกได้เป็น 3 ช่องทางคือ1.     การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล ในที่นี้บุคคลจะหมายถึงทั้งองค์กร บริษัท และตัวบุคคล การติดต่อนั้นทำผ่านได้ทั้ง รูปแบบของโทรศัพท์ โทรสาร และอีเมล์2.     การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลกับระบบคอมพิวเตอร์ และระหว่างระบบคอมพิวเตอร์กับบุคคล คือการใช้งานระบบอัตโนมัติในการติดต่อสื่อสารนั่นเอง เช่น ตู้ ATM ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ ระบบ FAX Back ระบบส่งอีเมล์อัตโนมัติ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ3.     การติดต่อระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ด้วยกันเอง เป็นรูปแบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในการติดต่อทางธุรกิจ โดยการให้ระบบคอมพิวเตอร์ของทั้งสองฝ่ายทำการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลโดยอัตโนมัติ ตามข้อกำหนดที่ได้ทำการตกลงร่วมกันไว้ อาทิ อีดีไอ ระบบการจัดการห่วงโซ่การผลิต เป็นต้นประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สรุปจากที่ผ่านมานั้นจะพบว่าจะมีข้อที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิตอยู่ 3 ประเด็นคือ
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายบุคลากรบางส่วน ลดขั้นตอนการประกอบธุรกิจ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อแบบเดิมๆ
  • ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก (หมายความว่าต้องสร้างเว็บไซต์ให้มีข้อมูลเป็นภาษาสากลหรือภาษาที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราใช้มากๆ เช่นภาษาจีน ญี่ปุ่น เป็นต้น)
  • ไม่มีข้อจำกัด้านเวลา สามารถทำการค้าได้ 24 ชั่วโมง 7 วัน ผ่านระบบอัตโนมัติ
ประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ/ผู้บริโภค
  • หาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบเรื่องราคา คุณภาพสินค้าและข้อมูลอื่นๆเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ
  • อินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากในเรื่องนี้ สามารถเข้าไปในเว็บบอร์ดต่างในการหาข้อมูลได้ง่าย
  • มีร้านค้าให้เลือกมากขึ้น
  • เพียงแค่พิมพ์คีย์เวิร์ดลงในเครื่องมือค้นหาก็มีสินค้าออกมาให้เลือกมากมาย
  • ได้รับสินค้าอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่ซื้อสินค้าที่จับต้องไม่ได้ เพราะสามารถได้รับสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
  • สินค้าบางอย่างสามารถลดพ่อค้าคนกลางได้ ทำให้ได้ราคาที่ถูกลง คงไม่ใช่กับทุกสินค้าหรือทุกผู้ผลิตที่มีความต้องการมาทำการขายเอง อาจจะได้กับสินค้าบางชนิด
ประโยชน์สำหรับผู้ผลิตและผู้ขาย
  • ลดความผิดพลาดในการสื่อสาร
  • จากเดิมที่ในการค้าต้องส่งแฟกซ์ หรือบางทีบอกจดทางโทรศัพท์ รับใบคำสั่งซื้อแล้วมาคีย์เข้าระบบ ถ้าสามารถทำการติดต่อกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่งข้อมูลกันได้เลยจะช่วยลดความผิดพลาดในส่วนนี้ไปได้
  • ลดเวลาในการผลิต
  • นำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการคำนวณเรื่องความต้องการวัตถุดิบ การทำคำสั่งซื้อวัตถุดิบ
  • เพิ่มประสิทธิภาพในระบบสำนักงานส่วนหลัง
  • เปิดตลาดใหม่ หาคู่ค้า ซัพพลายเออร์รายใหม่
  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง
  • เพิ่มความสัมพันธ์กับคู่ค้าให้ดีขึ้น
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเว็บไซต์ของบริษัท โดยการสร้างข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า การให้บริการหลังการขายให้คำปรึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์ หรือการแก้ไขเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้   

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Internet TV มันคืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ?

 Internet TV มันคืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ? มาดูกัน


Smart TV / Internet TV โดยทั่วไปคือทีวีที่ "ฉลาด" มากขึ้นนั่นเอง ด้วยความสามารถของตัวเครื่อง ( Spec ) ที่สูงมากขึ้น สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่น ( โปรแกรม ) ได้หลากหลาย  สามารถเชื่อมต่อเข้าใช้งานในโลกออนไลน์ Internet อย่างการใช้ Web Browser , Social Network และอื่นๆ ตามฟังก์ชั่นของ Smart TV / Internet TV แต่ละรุ่น

ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีของ TV นั้นพัฒนาไปไกลมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ LCD TV , LED TV , PLASMA TV เชื่อว่าหลายๆท่านคงได้พบเห็นตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้ากันเยอะแล้ว และในปัจจุบันนี้ทีวีจะไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่เอาไว้รับชมรายการโทรทัศน์หรือดูหนังเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังก้าวเข้าสู่โลกของการเชื่อมต่ออย่าง " Internet "  การใช้แอพพลิเคชั่นที่หลากหลายช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ความสามารถในการเล่นเกมส์ การจองตั๋วภาพยนต์ และอื่นๆอีกมากมาย ทุกอย่างรวบรวมไว้แค่ปลายนิ้วสัมผัส



 


Smart TV คืออะไร ??

ก่อนจะพูดถึงคำว่า " Smart TV " ผมขอยกตัวอย่างไปถึงคำว่า Smart ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด เพื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ " Smart Phone " ที่ทุกท่านรู้จักกันดีนั่นเอง เริ่มจากเมื่อก่อนนี้ โทรศัพท์มือถือก็มีความสามารใช้รับสายโทรเข้าเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันก็มีโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ทั้งกล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเพลงต่างๆ เชื่อมต่อกับ Internet ดูคลิปวีดีโอ ลงแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมอย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น iOS ของ Apple หรือ Android จาก Google นั่นคือที่มาของคำว่า " Smart Phone "

 

กลับมาถึงทางด้าน " Smart TV " ก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อก่อนทีวีที่ใช้กันตามบ้านก็มีการใช้งานเพียง ดูละคร ดูหนัง ดูข่าว เท่านั้น ยังไม่มีฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้หลากหลายต้องพึ่งแหล่งข้อมูลจากภายนอกเพียงอย่างเดียวในการแสดงผลเช่น เครื่องเล่น DVD เครื่องเกมส์ Console ต่างๆ แต่ในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นทีวีที่ "ฉลาด" มากขึ้นนั่นเอง ความสามารถของตัวเครื่องสูงมากขึ้น สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นได้หลากหลาย  โดยส่วนใหญ่แล้วความสามารถทั้งหมดจะใช้งานได้ด้วยการท่องไปในโลกออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้จำกัดแค่การเชื่อมต่อ Internet เพียงอย่างเดียว ยังรวมไปถึงการใช้งานอื่นๆเช่นการเล่นเกมส์ ( โดยไม่ต้องเชื่อมต่อ Internet ) การลงแอพพลิเคชั่นต่างๆ มาใช้งาน ซึ่งในแต่ละแบรนด์จะมีความสามารถในการใช้งานและชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ล่าสุดในปี 2012 บางยี่ห้อเช่น Samsung ยังเพิ่มความสามารถในการควบคุมทีวีให้เหนือชั้นคือการสั่งงานด้วย "เสียง" , "ท่าทาง" และระบบจดจำใบหน้า  ผมขอแยกไว้ตามนี้ครับ


   

 













Provision ED7 Android TV

** Android TV ** ขอเพิ่มเติมเกี่ยว Android TV กันบ้างครับ ผมคิดว่าหลายๆท่านน่าจะรู้จักระบบปฏิบัติการณ์นี้กันพอหอมปากหอมคอ ซึ่งปกติแล้วเจ้าระบบนี้จะโลดแล่นอยู่บน Smart Phone และ Tablet มากกว่า แต่ปัจจุบันมีทีวีที่จับเอา OS นี้มายัดลงไปก็คือ Provision รุ่น ED7 และ Polytron รุ่น H12A ซึ่งในอนาคตก็อาจจะมีเพิ่มเติมอีกก็เป็นได้ โดยความสามารถก็จะคล้ายกับในมือถือครับ คือการลงแอพพลิเคชั่นต่างๆมาใช้งาน แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการเช่นบางแอพต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ในการลงทะเบียนเล่นก็ไม่สามารถทำได้
 


Smart TV , Internet TV นั้น ย่อมต้องการ Internet เข้ามาเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานอัพเดทข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ การใช้งานเว็บบราวเซอร์ หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาใช้งานในตัวเครื่อง ซึ่งทีวีแต่ละรุ่นก็มีการเชื่อมต่อไม่เหมือนกัน มาดูกันครับว่าสามารถเชื่อมต่อได้อย่างไรบ้าง

ประเภทของการเชื่อมต่อ Internet ของ Smart TV , Internet TV แบ่งได้ 3 ประเภทก็คือ


1. เชื่อมต่อผ่านสาย LAN  ( Wired - ใช้สาย ) 2. เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi Adapter USB  ( Wireless - ไร้สาย )3. เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi Built-in ในตัวเครื่อง ส่วนมากจะมีในเฉพาะรุ่นสูงๆเท่านั้น  ( Wireless - ไร้สาย )

ซึ่งหลังจากเชื่อมต่อผ่าน WiFi ในวงเดียวกันแล้วบางรุ่นจะมีความสามารถในการแชร์ไฟล์จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆเช่นเพลง วีดีโอต่างๆ เพื่อมาแสดงผลทางหน้าจอทีวีได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Notebook , กล้องถ่ายรูป Digital , โทรศัพท์ Smart Phone รุ่นต่างๆ หรือที่เราเรียกว่า DLNA

Application on Smart TV :
สำหรับทีวีบางรุ่นนั้นจะมีความสามารถในการติดตั้งใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆได้ เช่น Samsung / LG / Philips ในจุดนี้เองท่านที่เคยใช้งาน Smart Phone ทั้ง Android หรือ iOS จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่าใช้หลักการเดียวกัน คือเมื่อเราต้องการใช้งานตัวไหนก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจาก Server กลางของแต่ละค่ายได้ทันที และที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ แอพพลิเคชั่นบางชนิดเมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว การใช้งานในครั้งต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ Internet อีก เช่น เกมส์ต่างๆ แต่สำหรับรุ่นที่ไม่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ ก็สามารถอัพเดทผ่านทางเฟิร์มแวร์ของตัวเครื่องได้เช่นกัน ( วิธีการอัพเฟิร์มแวร์ก็ง่ายมาก เพียงแค่เชื่อมต่อ Internet ไว้และไปที่เมนูอัพเดท ซอฟแวร์ ในการตั้งค่าทีวี ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ) ส่วนประเภทของแอพพลิเคชั่นต่างๆผมขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ

1. Local Content : คือแอพพลิเคชั่นต่างๆที่เป็นของคนไทย ภาษาไทย ใช้งานได้อย่างสะดวกเช่น MTHAI , Major Cineplex , SF Cinema , Traffy , Nation Channel

2. Global Content : คือแอพพลิเคชั่นที่เป็นสากลใช้กันทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Youtube , Facebook , Skype

ท่องเว็บไซต์ต่างๆไปพร้อมกับ Web Browser : 
 

อีกหนึงความสามารถของ Smart TV ,  Internet TV นั่นก็คือ การเข้าเว็บไซต์ต่างๆได้อย่างอิสระ เสมือนว่าเราเปิดจากคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว โดยจะไม่ต้องเสียเวลาเชื่อมต่อให้วุ่นวาย แต่ว่าข้อจำกัดอย่างการพิมพ์ภาษาไทย ต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมอื่นเข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่งผมจะอธิบายในส่วนต่อไปครับ และการแสดงผลอย่าง Flash หรือ Java Script ก็ทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ( ยกเว้นบางรุ่นเท่านั้น ซึ่งในอนาคตอาจจะมีเฟิร์มแวร์ออกมาช่วยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น )


การควบคุม Smart TV , Internet TV ในรูปแบบต่างๆ
มาต่อกันที่ส่วนของการควบคุมกันครับ หลายๆท่านอาจจะยังสงสัยว่า " เอ๊ะ ! ฟังก์ชั่นของทีวีนั้นมีเยอะมาก แต่ปุ่มในรีโมทมันเป็นแค่ตัวเลข และปุ่มทิศทางเท่านั้น เวลาพิมพ์จะสะดวกหรือเปล่า "  จริงๆแล้วการควมคุมให้ง่ายขึ้นก็เป็นเรื่องที่ทางแต่ละยี่ห้อต้องพยายามปรับตัวเข้าหาผู้บริโภคอย่างเราๆกันให้มากที่สุด เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการใช้งาน เพราะความยากง่ายในการควบคุมทีวีก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยตัดสินใจเลือกซื้อ Smart TV เช่นกัน

1. ควบคุมจากรีโมททีวี : โดยปกติแล้วทุกยี่ห้อจะคล้ายๆกันทั้งหมด อาจจะแตกต่างกันในด้านการวางตำแหน่งและดีไซน์ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปุ่มควบคุมทิศทาง จะใช้ในการเลื่อนตำแหน่งไปยังส่วนที่ต้องการ และปุ่ม OK เพื่อใช้เลือก วิธีการพิมพ์ก็จะทำได้แค่ "ภาษาอังกฤษ" เท่านั้น โดยใช้ปุ่มตัวเลขเป็นแป้นคีย์บอร์ด ( เช่นเลข 2 บนรีโมทจะมี A B C  ถ้าต้องการพิมพ์ C ให้กดเลข 2 จำนวน 3 ครั้ง )


ตัวอย่างรุ่น Samsung ES8000

2. ควบคุมจากอุปกรณ์เสริมเช่น เมาส์และคีย์บอร์ด : ในจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ต่างๆ ว่าจะสามารถพัฒนาตัวทีวีให้รองรับกับคีย์บอร์ดและเมาส์ได้หรือไม่ โดยวิธีการเชื่อมต่อจะทำผ่านช่อง USB 2.0 เท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายในการพิมพ์ตัวอักษร ( วิธีการเปลี่ยนภาษาคือ (ALT+ <- ) หรือ ALT พร้อมกับปุ่มลูกศรขวามือครับ )


 
ถัดมาก็คือตัว Magic Motion Remote จากทาง LG ที่ใช้รีโมทเป็นตัวชี้ไปยังหน้าจอทีวี และใช้ปุ่มเพียงปุ่มเดียวควบคุมได้ทุกอย่าง ง่ายต่อการใช้งานอีกเหมือนกัน ( คล้ายๆกับการใช้งานของ Nintendo Wii )
 

 
3. ควบคุมจาก Application บน Smart Phone : สำหรับวิธีนี้ต้องการ Smart Phone รุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Android หรือว่า iOS ก็สามารถเข้าไปค้นหา แอพพลิเคชั่น รีโมท จากทาง Android Market หรือ App Store ได้ฟรี ข้อดีคือจะทำให้สามารถพิมพ์ " ภาษาไทย " ได้ และมีความคล่องตัวในการใช้งานมาก โดยการเชื่อมต่อนั้นจะต้องเชื่อมต่อผ่านวง LAN เดียวกันกับตัวทีวีด้วยครับ
 


 
4. การควบคุมด้วยเสียง / ท่าทาง / ระบบจดจำใบหน้า ( Samasung ES8000 , ES7500 , E8000 ) :ถือเป็นทีวีรุ่นแรกที่บุกเบิกคำสั่งนี้ครับ ทำให้การควบคุมทีวีสะดวกกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงนำเอาไปประยุกต์ใช้กับแอพพลิเคชั่นต่างๆได้อีกด้วย
 












วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

Cloud Storage คืออะไร ?

                                             Cloud Storage:คืออะไร ?



                                                    Cloud Storage เก็บข้อมูลแบบก้อนเมฆ

Cloud Storage คืออะไร ?

     
  สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้งาน Dropbox มาก่อน Cloud Storage นั้นสามารถเปรียบเสมือนกับที่ฝากไฟล์บนอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เเต่มีความเเตกต่างตรงที่ว่าเว็บฝากไฟล์นั้นไม่มีการจับระเบียบไฟล์เป็นหมวดหมู่ที่ดีนัก เเละมีการจำกัดหรือเงื่อนไขในการฝากไฟล์ค่อนข้างมาก รวมไปถึงความยากในการใช้งานที่ต้องเข้าผ่านเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว เเละมีลักษณะที่คงที่ คือไฟล์ไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงข้อมูลใดๆ ได้ (ลองนึกถึงไฟล์เอกสาร) ถ้าเราอัพเดทข้อมูลเเล้ว เราต้องทำการอัพไฟล์ใหม่อีกรอบซึ่งต้องเสียเวลาอัพเดทด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
หัวใจของ Cloud Storage คือการ ซิงค์” ข้อมูลที่เราต้องการ (หรือทั้งหมด) เเละสนับสนุนบนอุปกรณ์หลายชนิดเพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน เนื่องจากปัจจุบันนี้เราไม่ได้ใช้งานอยู่บน PC เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ยังมีทั้งสมาร์ทโฟนเเละเเท็บเล็ตที่มีความสามารถสูงพอที่จะทำงานทดเเทน PC บางอย่างได้ เช่น เเก้ไขไฟล์เอกสารเล็กๆ น้อยๆ หรืออ่าน PDF ดังนั้นลองคิดดูว่าเวลาเรียกใช้ข้อมูลสมัยก่อนนั้นเราต้องทำการก็อปปี้ข้อมูลที่ตรงการลงบนอุปกรณ์เเต่ละชนิด ซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนเเปลงหรืออัพเดทเราต้องทำการก็อปปี้ไฟล์ใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งมีความยุ่งยากเเละน่าเบื่อ เเต่ถ้าเราใช้งานบน Cloud Storage นั้นเมื่อเราเเก้ไขไฟล์ที่อุปกรณ์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเเล้ว ก็จะทำการอัพเดทไฟล์ดังกล่าวไปยัง Cloud Storage โดยอัตโนมัติเพื่อให้อุปกรณ์อื่นๆ ของเราได้รับไฟล์เวอร์ชันล่าสุดเช่นเดียวกัน




เเนะนำความสามารถ Cloud Storage ของเเต่ละเจ้า

 Dropbox


              Dropbox นั้นถือเป็นผู้นำในตลาดของ Cloud Storage มานาน (ก่อนหน้านี้มี SkyDrive หรือเว็บอื่นๆ ที่มีลักษณะเหมือนการฝากไฟล์อย่างเดียวมากกว่า) โดย Dropbox นั้นถือว่าเป็นบริการที่มีลูกเล่นค่อนข้างมากเเละสนับสนุนเเพลตฟอร์มยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น Windows, OSX, Linux, Android, iOS หรือสามารถใช้งานผ่าน Website ได้อย่างสมบูรณ์เเละมีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานได้ง่าน เช่น ลากไฟล์จาก Desktop ผ่านเบราว์เซอร์ก็สามารถอัพโหลดข้อมูลได้เเล้ว ใขขณะที่ผู้ให้บริการบางรายยังต้องใช้ผ่านเมนูอัพโหลดอยู่
      ความสามารถของ Dropbox นั้นถึงเเม้จะเป็นฟีเจอร์ต่างๆ ที่เรียบง่าย เเต่พบว่าสามารถใช้งานได้จริงเเละสะดวกในการใช้งาน เช่น Dropbox บนมือถือนั้นจะมีความสามารถรูปถ่ายบนมือถือขึ้น Dropbox โดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลานำรูปออกจากโทรศัพท์มือถือด้วยตัวเอง หรือจะเป็นฟีเจอร์อย่างการสร้างลิงค์ในไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่กำหนดโดยเฉพาะ เพื่อให้คนสามารถมาดาวโหลดไฟล์ที่เรากำหนดไว้ได้ โดยจะไม่สามารถเห็นไฟล์อื่นๆ ของเรา ส่วนความสามารถพื้นฐานอย่างการเเชร์โฟลเดอร์ การดูรายละเอียดของDropbox ว่ามีการเพิ่มหรือลดไฟล์อะไรไปบ้าง ซึ่งรวมไปถึงการย้อนกลับเมื่อเราลบไฟล์นั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ Dropbox นั้นเป็น Cloud Storage ที่มีฟีเจอร์โดดเด่นเเละใช้งานง่ายที่สุดเจ้าหนึ่งในตอนนี้

      ข้อเสียของ Dropbox นั้นคือให้พื้นที่เริ่มต้นมาน้อยที่สุดคือ 2 GB เเต่ว่ามีกิจกรรมที่สามารถเพิ่มพื้นที่ข้อมูลค่อนข้างมาก ซึ่งต้องติดตามข่าวสักนิดหนึ่ง เช่น ใช้ Camera Upload จะสามารถเพิ่มพื้นที่ให้มากสุดถึง 3GBหรือสามารถเเนะนำให้คนอื่นใช้งานจากเเอคเคาท์เราจะได้เพิ่ม 500 MB ต่อคนซึ่งทำได้สูงสุดถึง 16GB ทีเดียว ถ้าทำตามเงื่อนไขทั้งหมดเเล้วจะได้พื้นที่ประมาณ 20 GB ขึ้นไป เเต่ถ้าใครต้องการซื้อพื้นที่เพิ่มนั้นก็สามารถทำได้ เเต่ราคาพื้นที่เพิ่มของ Dropbox นั้นเเพงที่สุดทั้งหมดของผู้ให้บริการ Cloud Storage ด้วยกัน

iCloud


        สำหรับ iCloud ก็สามารถถือว่าเป็น Cloud Storage ชนิดหนึ่งได้ เเต่สำหรับ iCloud นั้นหน้าที่หลักเหมือนกับการซิงค์ข้อมูลค่าการตั้งค่าของเเต่ละเเอพมากกว่าการซิงค์ไฟล์ เพราะว่า “ข้อมูล” ที่สามารถซิงค์ผ่าน iCloud ได้มีจำกัด เช่น Email, Contacts, Calendar, Reminders, Bookmarks, Documents, Notes เเละอื่นๆ รวมไปถึงสามารถเเบคอัพการตั้งค่าของ iOS เอาไว้ได้ ทำให้เหมือนกับ OSX หรือ iOS นั้นจะเเบคอัพไฟล์หรือข้อมูลของเราเอาไว้มากกว่าเป็นไฟล์อย่าง Dropbox หรือผู้ให้บริการอื่นๆ ทำให้เวลาการ restore ระบบเมื่อซื้อเครื่องใหม่มาใช้นั้นทำได้สะดวก หรือเรียกดูไฟล์เอกสาร ปฏิทินนัดหมายนั้นเหมือนกันบนทุกอุปกรณ์ซึ่งยังไม่มีผู้ให้บริการ Cloud Storage รายได้ทำได้ เนื่องจากไม่ได้ระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเอง (ไม่เเน่ว่า Microsoft อาจจะนำไปทำด้วยภายหลัง) จะเห็นว่าจุดประสงค์ของ iCloud นั้นทำมาเพื่อการซิงค์ข้อมูลที่ไม่ใช่ไฟล์มากกว่า ซึ่งเเตกต่างกับ Dropbox, SkyDrive เเละ Google Drive อย่างชัดเจน
ดังนั้นในเรื่องของการเเชร์ไฟล์ iCloud ยังไม่ใช่คำตอบ รวมไปถึงสนับสนุนเฉพาะระบบปฏิบัติการของ Apple อย่าง OSX เเละ iOS ไม่สามารถข้ามไปยังเเพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ สำหรับการซื้อพื้นที่เพิ่มนั้นมีราคาถูกกว่า Dropbox เเต่ก็เเพงกว่าเจ้าอื่นๆ อย่าง Sky Drive เเละ Google Drive
SkyDrive


                 Microsoft นั้นได้เปิดบริการ SkyDrive มานานเเล้วเเต่มีลักษณะเหมือนกับที่เก็บข้อมูลส่วนตัวมากกว่าการเเชร์ไฟล์ ซึ่งเป็นลักษณะของเว็บฝากไฟล์ในสมัยนั้นก่อนที่จะปรับปรุงมาเมื่อไม่นานมานี้ โดย SkyDriveเวอร์ชันปรับปรุงใหม่เมื่อสมัครจะมีพื้นที่ให้ 7GB ซึ่งมากที่สุดในบรรดาของผู้ให้บริการด้วยกัน นอกจากนี้ผู้ที่ใช้งาน SkyDrive มาก่อนหน้าจะสามารถอัพเกรดเป็น 25GB ได้เหมือนกับ SkyDrive ในสมัยก่อนหน้า ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดของ SkyDrive เหนือคู่เเข่งเจ้าอื่นมากทีเดียว
      นอกจากนี้เเล้ว SkyDrive ยังรวมความสามารถในการสร้าง อ่านเเละเเชร์ไฟล์เอกสารจาก Office 365 หรือOffice บนเว็บไซต์ด้วยคือ Word, Excel เเละ PowerPoint โดยการเเชร์ไฟล์นั้น SkyDrive จะเน้นส่งลิงค์ไปทาง Email ซึ่งต่างจาก Dropbox ที่สามารถก็อปปี้ลิงค์ไปวางได้โดยตรง เเละมีการเพิ่ม Client บน Windows, OSX, iOS, Windows Phone เพื่อให้สามารถเข้าถึงไฟล์หรือซิงค์ไฟล์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าผ่านทางเว็บไซต์อย่างเดียว
 Google Drive

               บริการน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Google Drive เป็นบริการที่ถูกมาเเทน Google Docs เดิมหรือจะเรียกว่าเป็นการเสริมความสามารถของ Google Docs ที่สามารถเก็บไฟล์เอกสารอย่างเดียว ให้รองรับไฟล์หลายประเภทเเละสามารถใช้งานได้เหมือนกับเป็นเป็น “Harddrive” ลูกหนึ่ง
      Google Drive นั้นยังคงมีความสามารถเหมือนกับ Google Docs เดิมคือสามารถเปิดอ่าน เเก้ไข เเละเเชร์ไฟล์เอกสารได้เหมือนเดิม เเละเพิ่มความสามารถในการอัพโหลดไฟล์ชนิดใดก็ได้ขึ้นไป โดยให้พื้นที่ทั้งหมด 5 GB จุดเด่นที่สุดของ Google Drive คือการรวมเข้ากับบริการต่างๆ ของ Google เช่นเราสามารถส่งลิงค์ไฟล์ของGoogle Drive เเทนที่จะต้องเเนบไฟล์ผ่านอีเมล์ หรือเเชร์รูปภาพผ่านบน Google+ ผ่าน Google Drive ได้โดยตรง รวมไปถึงระบบค้นหาไฟล์เเละย้อนเวลากลับไปดูกิจกรรมที่เราทำไว้ในวันก่อนว่ามีการเพิ่ม / ลดไฟล์อะไปบ้างเเละกู้คืนมาได้เหมือนกับ Dropbox เเละในบรรดาผู้ให้บริการทุกเจ้านั้น Microsoft มีราคาต่ำที่สุด ซึ่งในอนาคตนั้นไม่เเน่ว่าอาจจะมีความสามารถในการเเบคอัพค่าต่างๆ ของ Android ลงไปบน Google Driveก็ได้

ยกตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้กับ Cloud Storage



                                        

 มารู้จัก Dropbox กันเถอะ !! 

                                              


          Dropbox เป็นบริการให้พื้นที่แบบออนไลน์ และมีความสามารถใช้ในการแบ่งปันไฟล์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักๆ ของ Dropbox โดย Dropbox นี้จะเหมาะกับผู้ที่ต้องใช้งานเครื่องคอมหลายๆ เครื่อง แต่ต่างสถานที่ และต่างระบบปฏิบัติการ โดยใช้ internet ในการรับฝากไฟล์บนพื้นที่ออนไลน์ เสมอเหมือนว่าเรามี flashdrive onlineสามารถเรียกใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา


Dropbox ให้บริการอะไรบ้าง? 

อย่างแรกเลย เป็นพื้นที่สาหรับ Drop files โดยให้เราใช้ฟรีๆเลย 2 gb และเพื่อให้เข้าใจง่ายๆเลยว่า Dropbox นั้นก็คือ flashdrive online ของเราดี ๆ นี่เอง เราจะใส่ files อะไรก็ได้ จะเก็บยังไงก็ได้ ขอเพียงเรามี internet เราก็สามารถเข้าถึง ข้อมูลที่เราเก็บไว้ได้และสามารถส่งต่อให้ "ใครบางคน" หรือ "ทุกคน" โดยเลือกให้เขา เข้าถึงเฉพาะ files ที่เราต้องการได้ด้วย ซึ่งการที่เรามี Dropbox แบบนี้ จะสะดวกมากในกรณีทางานกันหลายคน

Dropbox ดีอย่างไร?


Dropbox มีข้อดีต่างๆ มากมาย ที่ช่วยให้ชีวิตประจำวัน หรือการทำงานของคุณสะดวกยิ่งขึ้น ดังนี้

ทำให้ตรงกัน (Synchronize)

Dropbox จะทำไฟล์ใน Folder Dropbox ให้ ตรงกันเสมอ’ (Synchronize) โดยมีพื้นที่ฟรีให้มากถึง 2GB และใช้ได้ทั้งบน Windows, Mac, Linux, มือถือ และ Web-based. ไม่ว่าไฟล์ๆ นั้น จะถูกแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อใด Dropbox จะรู้และ Update ให้กับเครื่องอื่นๆ อัตโนมัติทันที

แบ่งปันไฟล์ (File Sharing)


แชร์โฟลเดอร์ต่างๆ ให้กับคนอื่นๆ เพื่อให้ ทำงานร่วมกันได้’ (Collaboration) นอกจากนี้ ยังสร้าง Public Link ให้ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

การใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น android ios หรือ tablet 



เข้าผ่านเว็บไซต์ (


ไฟล์อีกชุดนึง จะเก็บไว้บน Internet เพื่อให้คุณเข้าถึงไฟล์ได้ทุกสถานที่ ที่ Internet สามารถเชื่อมต่อได้ และมีความปลอดภัยสูง

Dropbox ไว้ใช้ทำอะไร

เป็นบริการฝากไฟล์แบบออนไลน์ โดยที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกๆที่ ที่มีการเชื่อต่ออินเทอร์เน็ต ไฟล์ทั้งหมดของผู้ใช้จะถูกเก็บไว้บน Server Dropbox และเราสามารถเชื่อมต่อกับไฟล์ต่างๆ บน Server ด้วยโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Dropbox ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของ windows, MAC, Linux, Apple iOsAndroid Os,Blackberry Os ทั้งยังสามารถเข้าผ่าน Browser Website ได้โดยที่ไม่ต้องผ่านแอพพลิเคชั่นอีกด้วย
อัตราการค่าใช้จ่ายนั้นมีดังนี้ ขนาดเนื้อที่ 2GB Basic Free อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่อยากเสียตังค์  
และหากใครที่ไม่พอใจก็สามารถจ่ายเงินเพื่ออัพเกรดกันได้









อ้างอิง       http://escsequencer.wordpress.com/2012/04/29
                 http://www.plan.doae.go.th/project/narrowcorner/userfiles/Dropbox.pdf
                 www.malangtub.com/2012/04/05/dropbox-วิธีการใช้งานขั้นเทพ/
Youtube    http://www.youtube.com/watch?v=CjN-g-6D-4M